งาดำสุดยอดของอาหารบำรุงไต
ชาวจีนถือว่า “งาดำเป็นสุดยอดของอาหารบำรุงไต”
ชาวอินเดียมักจะใช้น้ำมันงาดำมาทาตัวและผม และยังยกย่องว่าเป็น “อาหารล้างพิษอย่างดี”
การแพทย์ญี่ปุ่นแนะนำให้กินเพื่อเสริมสร้างประสาทและบำรุงสมอง
ในทางการแพทย์ธรรมชาติบำบัด (Naturopathy) ได้ใช้งาดำในหลายรูปแบบ ทั้งการกินงาแบบบดละเอียดและสกัดออกมาเป็นน้ำมันงาดำ ในการบำรุงและรักษาร่างกาย ไม่ว่าจะใช้ในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ชะลอวัย และการกำจัดสารพิษ ปกป้องตับและไต ในปัจจุบันได้เป็นที่ยอมรับกันอย่างแพร่หลายถึงคุณค่าทางด้านอาหาร และคุณสมบัติทางด้านการป้องกันและรักษาโรคของงาดำ
โดยเฉพาะในการแพทย์ปัจจุบันได้ยกย่องและให้ความสำคัญในน้ำมันงาดำ เพราะมีความสมดุลของสารโอเมก้าที่จำเป็น และสารอาหารจำเป็นอื่นๆ ของมนุษย์ จึงมีการแนะนำให้รับประทานงาดำในรูปธรรมชาติ (จากการสกัดเย็นโดยไม่ผ่านความร้อนหรือสารเคมี) ควบคู่ไปกับการแพทย์แผนปัจจุบัน ในการดูแลรักษาผู้ป่วย
ความก้าวล้ำทางการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันได้นำเสนอการใช้งาดำเพื่อเป็นอาหาร และอาหารเสริมสุขภาพในเชิงลึกขึ้นมากมาย ผสมผสานกับข้อมูลการใช้ในอดีตกว่า 5,000 ปีที่ผ่านมา เราจึงมีข้ออธิบาย วิธีการใช้ รวมถึงสรรพคุณของงาดำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจกับการใช้งาดำให้เกิดประโยชน์ มิใช่โทษกันเสียก่อน งาดำที่มีประโยชน์จะอยู่ในรูปดิบ (Raw) ไม่ผ่านความร้อนหรือสารเคมี ก่อนที่เราจะนำไปใช้
ในท้องตลาดเราจะพบเห็นเมล็ดงาคั่ว ซึ่งนำมาขายเป็นส่วนประกอบของอาหาร หรือเป็นน้ำมัน ซึ่งสีเข้มขึ้นและมีกลิ่นหอมจากการคั่ว แต่ที่เราไม่รู้นั้นคือ เมล็ดงามีส่วนผสมของน้ำมันเกือบครึ่งหนึ่ง! น้ำมันชนิดนี้มีจุดเผาไหม้ต่ำมาก เมื่อนำไปคั่ว จะไหม้ง่าย การเผาไหม้ของน้ำมันงานั้น ก่อให้เกิดสารเผาไหม้ ซึ่งกลายเป็นของเสีย และสารก่อมะเร็ง (Carclnogen) กลับกลายเป็นผลร้ายต่อร่างกาย
การคั่วมาก่อนนำมาแปรรูปนั้น จะทำให้เมล็ดงาและน้ำมันที่ได้ไม่ขึ้นรา และกลิ่นไหม้ของงานั้นจะกลบกลิ่นหืน ของน้ำมัน การแปรรูปแบบนี้ทำให้มีการออกซิไดซ์ (การทำปฏิกิริยากับอากาศ) และที่สำคัญจะทำให้สารอาหารถดถอย การแปรรูปที่ไม่ถูกวิธีนี้ร่างกายไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ อีกทั้งเกิดสารพิษจากการเผาไหม้ยังสะสม และสารพิษที่เกิดขึ้นก่อให้เกิดโรคในอนาคต
นักโภชนาการ และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ จึงแนะนำให้กินเมล็ดงาสด และน้ำมันงาดำสกัดเย็น เพื่อประโยชน์ และความปลอดภัยสูงสุด
*** บทความคัดย่อจากหนังสือ ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ป่วย สวยด้วยน้ำมันงาดำ